Amazon (AMZN) เคยเป็นหุ้นเทคดาวรุ่งในยุคโควิด แต่หลังจากนั้นราคากลับเงียบเหงาลงกว่าที่นักลงทุนคาดหวัง อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Amazon เริ่มถูกจับตามองอีกครั้งในฐานะหุ้นเทคสายค้าปลีกที่มีโอกาส “กลับมาแรง” ได้ในรอบใหม่
ปรับโครงสร้างอะไรบ้าง? แล้วส่งผลต่อธุรกิจยังไง
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา Amazon เดินหน้ารีดไขมันธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในฝั่งที่เคยขยายตัวเกินพอดีช่วงโควิด เช่น การลดพนักงานหลายหมื่นตำแหน่ง, ลดต้นทุนด้าน Logistics, ปิดหรือชะลอคลังสินค้า และหยุดโปรเจกต์ที่ไม่ทำกำไร
ในขณะเดียวกัน ก็หันมาโฟกัสธุรกิจหลักที่ทำเงินได้จริง เช่น:
-
AWS (Amazon Web Services): ยังเป็นเครื่องจักรทำเงินตัวหลักของบริษัท
-
โฆษณา (Ads): เติบโตแรง และมี margin สูง
-
E-commerce: ปรับระบบให้ lean และคุ้มทุนมากขึ้น
การปรับโครงสร้างทั้งหมดนี้ ช่วยให้กำไรสุทธิกลับมาเติบโตชัดเจนในไตรมาสล่าสุด
ปัจจัยบวกที่อาจหนุนราคาหุ้น AMZN
-
การเติบโตของ AWS: แม้คู่แข่งเยอะ แต่ AWS ยังครองส่วนแบ่งสูงสุดในตลาด Cloud
-
เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์: Amazon กลายเป็นผู้เล่นเบอร์ต้นในตลาดนี้ โดยเฉพาะการยิงโฆษณาผ่านระบบค้นหาสินค้า
-
AI และ Machine Learning: Amazon นำ AI มาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อ ปรับราคา และจัดสต็อกแบบเรียลไทม์
-
แนวโน้มเศรษฐกิจฟื้น: หากกำลังซื้อผู้บริโภคกลับมา จะดันรายได้ฝั่ง E-commerce ให้ฟื้นตาม
ความเสี่ยงที่ยังต้องจับตา
-
การแข่งขันจาก Walmart, Shopify และ Temu: โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาและระดับโลก
-
ค่าใช้จ่ายด้าน fulfillment: หากราคาน้ำมันหรือค่าขนส่งสูงขึ้น อาจบีบ margin อีกครั้ง
-
ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก: โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่ Amazon ขยายเข้าไป
แม้จะเริ่มฟื้น แต่ Amazon ยังต้องรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตและการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
สรุป: AMZN ยังน่าลงทุนไหม?
Amazon ไม่ใช่แค่ร้านค้าออนไลน์ แต่คือบริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานรายได้หลากหลายและกำลังปรับตัวสู่ความยั่งยืน หลังการปรับโครงสร้างชัดเจน ราคาหุ้นเริ่มสะท้อนการฟื้นตัว และหากธุรกิจหลักอย่าง AWS และ Ads เติบโตตามเป้า AMZN ก็มีโอกาสกลับมาเป็นหุ้นเติบโตระดับเรือธงได้อีกครั้ง
นักลงทุนที่มองหาโอกาสในหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ยังไม่ “พุ่งแรงเกินไป” Amazon คือหนึ่งในตัวเลือกที่ควรจับตา